วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นิทานกากับหงส์


 กากับหงส์  

  กานั้นมีขนที่ดำสนิทเเละเป็นเงางาม เเต่ทว่าพวกกา กลับมิได้พึงพอใจในความเป็นตัวเอง
พวกกาเห็นว่าหงส์นั้นมีขนสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ก็พากันนึกอิจฉา เเละ อยากที่จะมีขนสีขาวเช่นนั้นบ้าง
“สงสัยว่า คงเป็นเพราะหงส์ ชอบลงอาบน้ำอยู่เสมอ เเละ ก็ยังพำนักพักอาศัยอยู่ใกล้ สระน้ำด้วย”
กาตัวหนึ่งคาดคะเน กาอีกตัวหนึ่งจึงสนับสนุนว่า
“นั่นน่ะสิ ถ้าพวกเราว่ายน้ำบ่อยๆ เเละพักอยู่ใกล้สระน้ำ เราก็คงจะขาวเหมือนหงส์นะ”
เมื่อ เห็นดีเห็นงามด้วยกันเช่นนั้น พวกกาก็พากันละทิ้ง เทวสถานอันเป็นที่พำนักพักอาศัยมาตั้งเเต่เดิม เเล้วพากันอพยพไปอยู่ที่ริมสระน้ำ
พวกกาชวนกันลงเล่นน้ำทุกวันเเละไซ้ขนเป็นประจำ อย่างหงส์เเต่พวกมันก็มิได้มีขนที่ขาวขึ้นเเต่อย่างใด
กา ยังคงมีขนสีดำสนิทเช่นเดิน เเต่ทว่ามันไม่อาจมี ความสุขดังเดิมเพราะสถานที่ใหม่นั้นมิได้มีอาหาร การกินอุดมบูรณ์เหมือนที่เคยอยู่ ดังนั้นพวกกาจึง อดตายกันหมดในเวลาต่อมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การหลงลืมธรรมชาติของตนนั้น เเม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนสังคม เเต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยน ธรรมชาติดั้งเดิม ของตนได้





9,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนเด็ก,นิทานอีสป

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นิทานสิงโตกับกระต่ายป่า

   
สิงโตกับกระต่ายป่า 


  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าลึกแห่งหนึ่ง สิงโตตัวหนึ่งตื่นขึ้นในตอนเย็นวันหนึ่งด้วยความหิว มันจึงเดินเข้าไปหาอาหารในป่า ด้วยความที่มันหิวมากมันจึงพยายามมองหาเหยื่อทุกชนิด ทันใดนั้นมันก็เหลือบไปเห็นกระต่ายป่าวิ่งอยู่ไม่ห่างนัก สิงโตจึงวิ่งไล่ตามเจ้ากระต่ายป่าไป และแล้วมันก็สามารถจับเจ้ากระต่ายป่าตัวนั้นได้

          ขณะที่มันจะกินเจ้ากระต่ายป่าเป็นอาหารมื้อเย็น สิงโตก็มองเห็นกวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านไปด้วยความโลภ สิงโตคิดว่ามันน่าจะจับกวางซึ่งตัวใหญ่กว่ากินแทนเจ้ากระต่ายป่า คิดดังนั้นแล้ว มันจึงปล่อยกระต่ายป่าไปแล้ววิ่งไล่กวดกวางตัวนั้นแทน กวางกลัวสิงโตจับไปกิน จึงวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต กวางวิ่งหนีเร็วมากจนสิงโตไล่ตามไม่ทัน ในที่สุดสิงโตก็เหนื่อยหอบจนต้องหยุดวิ่ง 

          ด้วยความหิวมันจึงคิดว่า "เราน่าจะกลับไปกินเจ้ากระต่ายป่าอย่างเดิมดีกว่า" ว่าแล้วมันจึงรีบกลับไปยังที่ที่มันปล่อยกระต่ายป่าไว้ แต่เมื่อไปถึงมันก็พบว่า กระต่ายป่าได้หนีหายไปแล้ว สิงโตเสียใจมาก เพราะความโลภแท้ ๆ ทำให้มันไม่มีอะไรกินแม้แต่กระต่ายป่า


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่




8,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนเด็ก,นิทานอีสป

นิทานฝูงนกกับแรดใจร้าย




ฝูงนกกับแรดใจร้าย 


 กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนกจำนวนมากมาอาศัยสร้างรังกันอยู่บนต้นไม้ นกหลายชนิดที่อาศัย ณ ที่นี้มักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ 

          จนในวันหนึ่ง มีแรดตัวหนึ่งเดินเข้ามาในป่าแถบนั้น มันเห็นว่ามีนกมากมายอาศัยอยู่บนต้นไม้ แรดผู้กำลังหิว จึงเอานอของมันกระแทกไปยังต้นไม้ต้นหนึ่ง จนรังของนกสีเขียวที่อยู่บนต้นไม้นั้นตกลงมา จากนั้นมันจึงกินลูกนกตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในรังนั้น แม่นกสีเขียวโกรธมาก แต่มันไม่สามารถทำอะไรแรดตัวนั้นได้ เมื่ออิ่มจากการกินลูกนกแล้ว แรดก็เดินจากไป บรรดานกทั้งหมดจึงพร้อมใจกันมาประชุมหารือกัน นกสีแดงออกความเห็นว่า 

          "แรดตัวนี้จะต้องหวนกลับมาอีกแน่นอน พวกเราต้องร่วมมือกันขับไล่มันไป"  
          แต่นกสีเขียวแย้งว่า "ไม่เอาหรอก แรดตัวนั้นใหญ่โตและแข็งแรงนัก" 
          "ใช่ ๆ พวกเราคงทำอะไรมันไม่ได้หรอก" นกสีเหลืองเห็นด้วย 

          ด้วยเหตุที่นกเหล่านี้ชอบขัดแย้งกันอยู่เป็นประจำ พวกมันจึงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนกสีแดง ทำให้ไม่มีใครเตรียมรับมือกับแรดตัวนั้นเลย เมื่อไม่มีใครเห็นด้วย นกสีแดงผัวเมียจึงปรึกษากันว่า "เราคงต้องช่วยตัวเองแล้วล่ะทีนี้" ว่าแล้ว ทั้งสองก็ช่วยกันย้ายรังของมันไปอยู่บนต้นไม้ที่สูงขึ้นไปบนหน้าผา ซึ่งแรดไม่มีทางไปถึงได้เลย 

          วันรุ่งขึ้น แรดตัวเดิมก็กลับมาอีก คราวนี้มันเอานอของมันชนกระแทกไปยังต้นไม้ที่นกสีเหลืองอาศัยอยู่ ทำให้รังของนกสีเหลืองตกลงมา จากนั้นมันจึงวิ่งชนต้นไม้อื่น ๆ อีกหลายต้น ลูกนกและไข่ในรังที่ร่วงหล่นลงมาล้วนตกเป็นอาหารของแรดจนหมดสิ้น บรรดาพ่อแม่นกต่างพากันเสียใจ ที่ไม่คิดหาทางรับมือกับแรดตัวนี้ไว้เสียแต่แรก ในขณะเดียวกัน ครอบครัวของนกสีแดงที่เตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้ว กลับมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่ไม่ประมาทย่อมเอาตัวรอดได้ ส่วนผู้ที่ประมาทย่อมเอาตัวไม่รอด


7,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนเด็ก,นิทานอีสป

นิทานหนูกับกบ



หนูกับกบ 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชนบทแห่งหนึ่ง มีหนูอยู่ตัวหนึ่ง วันหนึ่งมันคิดอยากจะเข้าไปเที่ยวในเมือง มันจึงจัดเตรียมข้าวของแล้วเริ่มต้นออกเดินทางเข้าเมือง ระหว่างทางอากาศค่อย ๆ ร้อนขึ้น ทำให้เจ้าหนูรู้สึกอ่อนเพลียและกระหายน้ำ มันจึงแวะหยุดพักที่ริมบึงใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อหาน้ำดื่มให้ร่างกาายสดชื่นขึ้นและหาผลไม้กินให้อิ่มท้อง 

          ใกล้ ๆ บึงใหญ่แห่งนั้น เป็นที่อาศัยของกบตัวหนึ่ง เมื่อหนูเห็นกบ มันจึงเดินรี่เข้าไปหาแล้วขู่บังคับให้กบพามันข้ามไปยังอีกฟากหนึ่ง แต่กบปฏิเสธ เจ้าหนูจึงใช้กำลังเข้าทำร้ายกบ จนกบต้องยอมแพ้และตกลงที่จะพาหนูข้ามฟากไป เจ้าหนูกลัวกบจะปล่อยมันทิ้งไว้กลางทาง จึงเอาเชือกมาผูกขาของมันและขาของกบไว้ด้วยกัน เมื่อกบพาหนูไปถึงกลางบึง มันก็หยุดว่ายน้ำ เพื่อแกล้งให้หนูจมน้ำตาย หนูตะเกียกตะกายเพื่อไม่ให้ตัวเองจมน้ำ โดยมีเจ้ากบมองด้วยความสะใจ ขณะนั้นเองมีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินผ่านมาเห็นเข้า มันจึงตรงเข้าโฉบเอาสัตว์ทั้งสองไปกินเป็นอาหาร


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีแต่เสียหาย


6,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนเด็ก,นิทานอีสป

นิทานลูกนก



ลูกนก   

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกนกอยู่คู่หนึ่ง อาศัยอยู่ในรังบนต้นไม้ ซึ่งอยู่กระหว่างกลางของสำนักพระฤาษีกับหมู่บ้านโจร พ่อแม่นกต้องคอยหาอาหารมาป้อนทุกวัน

คืนหนึ่งมีพายุแรงพัดเอาลูกทั้งสองต้องพลัดพรากจากกัน

นกตัวหนึ่งตกลงไปอยู่ในสำนักพระฤาษี ก็ได้รับการอบรม สั่งสอน ฝีกฝนแต่ในทางดี พูดจาไพเราะมีจิตใจมั่นคง โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนบ้าน

 ส่วนลูกนกอีกตัวหนึ่งถูกพายุพัดตกลงไปในบ้านโจร ก็ได้รับการอบรมแนะนำแต่ในทางเลว เช่น ลักขโมย พูดจาหยาบคาย ปากจัด มีจิตใจดุร้าย อาฆาตพยาบาท เป็นต้น

 วันหนึ่ง มีพระราชาพระองค์หนึ่งเดินทางหลงทางเข้ามานอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ในแดนโจร นกตัวที่อยู่กับโจรพูดขึ้นว่า “เออ ! ดีแล้ว วันนี้มีคนมานอนหลับอยู่ในถิ่นของเรา เราต้องฆ่าเสียให้ตาย”

พระราชาได้ยินก็ตกใจ รีบหนีผ่านไปทางสำนักพระฤาษี

นกตัวที่อยู่กับพระฤาษีก็ออกมาทักทายว่า “เชิญพักผ่อน ดื่มน้ำและหลับนอนที่นี่ได้ ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ”

พระราชาก็เข้าไปนอนหลับใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ กับสำนักพระฤาษี เมื่อตื่นขึ้นมาก็คิดในใจว่า

 “นกสองตัวนี้มีนิสัยแตกต่างกันมากจริง ๆ ตัวหนึ่งใจร้าย แต่อีกตัวหนึ่งใจดี”

เมื่อคิดดังนั้นแล้วพระราชาก็เข้าไปหาพระฤาษี เพื่อขอนกที่พระฤาษีเลี้ยงไว้
แล้วพระราชาก็ได้นำนกผู้มีอัธยาศัยดีตัวนี้ไปเลี้ยงไว้ในพระราชวัง


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล
หมายถึงถ้าคบคนเลวจะทำให้ชีวิตตกต่ำ ถ้าคบคนดีจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง


5,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนลูก,นิทานอีสป

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นิทานเต่ากับงู

              
         เต่ากับงู 


        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเต่าและงูอาศัยอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำสายหนึ่ง ทั้งเต่าและงูต่างก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน เนื่องจากต่างก็ แย่งกันเป็นใหญ่ ต้องการจะเป็นราชาแห่งลุ่มน้ำนี้

             งูพยายามอยู่เสมอที่จะฉกเต่าให้ตาย แต่เต่าก็จะรีบหดหัว หดขาเข้ากระดองไปทุกครั้ง งูจึงได้แต่ฉกกัดกระดองที่แข็ง ซึ่งไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้แก่เต่าเลย เต่าจึงหัวเราะเสียงดัง ฮ่า ๆๆ แล้วกล่าวว่า


 "เห็นไหม ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้ ข้าเป็นราชาแห่งลุ่มน้ำนี้  ฮ่าๆๆ" 
             
             งูโกรธมากจึงถามขึ้นว่า "ท่านทำอย่างไรจึงได้แข็งแรงอย่างนี้"

             เต่าตอบว่า "ข้าแข็งแรง เพื่อน ๆ ของข้าก็แข็งแรง ทั้งนี้เพราะพวกเราต้องตัดศีรษะของพวกเรา ในเวลากลางคืนทุกวัน"

             "เอ๊ะ น่าสนใจดีนี่ ถ้าข้าจะชวนเพื่อน ๆ มาดูด้วยท่านจะแสดงการตัดศีรษะให้พวกข้าดูด้วยได้ไหม"

             "อ๋อ ได้ซิ" เต่าตอบตกลง


        ดังนั้น ทั้งงูและเต่าต่างก็ชวนเพื่อนฝูงและครอบครัวมากันอย่างมากมาย พวกเต่าจะอยู่ที่ฝั่งด้านหนึ่งของแม่น้ำ ส่วนงูนั้นคอยเฝ้าดูอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เต่าตัวแรกจะถือท่อนไม้แข็งไว้ และแสดงท่าเหมือนกำลังจะตัดศีรษะเต่าอีกตัว ส่วนเต่าตัวอื่น ๆ ก็ทำตาม แต่พวกเต่าไม่ได้ ตัดศีรษะจริง ๆ เพียงแต่พวกมันหดศีรษะเข้าไปในกระดองเท่านั้น

             พวกงูทั้งหลายหลงเชื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีและน่าสนใจ ดังนั้นในตอนสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น มันจึงเดินทางมาหาเต่าแล้วพูดว่า "พวกข้าต้องการตัดศีรษะทุก ๆ คืน จะได้แข็งแรงอย่างพวกท่าน แต่พวกเราไม่มีมือ ไม่มีเท้า จึงอยากให้พวกท่านช่วย"


  "อ๋อ ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง" เต่ารีบอาสาทันทีพร้อมยิ้มอยู่ในใจ

             พอตกกลางคืน เต่าทุก ๆ ตัว ต่างก็ถือท่อนไม้แข็งไว้ และใช้ท่อนไม้นี้ ตัดศีรษะของงูทุก ๆ ตัว แต่งูไม่มีกระดองที่จะหดศีรษะไว้ข้างในได้ ดังนั้นงูจึงถูกเต่าใช้ท่อนไม้แข็งตีศีรษะจนตายทุกตัว     

             เมื่อพวกงูตายหมดแล้ว พวกเต่าก็ได้เป็นใหญ่ เต่าตัวที่เป็นเจ้าของความคิดก็กลายเป็นราชา แห่งลุ่มน้ำนี้อย่างไม่มีคู่แข่งตลอดไป




นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนฉลาดย่อมเป็นผู้ชนะ


4,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนเด็ก,นิทานอีสป

นิทานนกกระสากับห่าน




นกกระสากับห่าน    


ที่ริมหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นที่อาศัยของห่านและนกกระสา ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน และมักออกหากินด้วยกันเสมอ วันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเลียบหนองน้ำอยู่ มีนกกระยางตัวหนึ่งบินผ่านมา "นี่แน่ะเพื่อน ตรงโน้นมีหนองน้ำอีกแห่งหนึ่งที่นั่นมีกุ้ง หอย ปู ปลา เยอะแยะเชียว" นกกระยางบอก นกกระสาและห่านจึงพากันบินไปยังหนองน้ำตามคำบอกเล่าของนกกระยาง ที่หนองน้ำแห่งนั้นมีอาหารอุดมสมบูรณ์จริงตามที่นกกระยางพูด ห่านนั้นกินอาหารมากจนพุงกางในขณะที่นกกระสากินพออิ่ม 

           "นาน ๆ ถึงจะพบแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์อย่างนี้ ทำไมท่านถึงกินเพียงนิดเดียวล่ะ"ห่านถาม " ข้าอิ่มแล้ว ถ้ากินมากเกินไป ข้ากลัวว่าจะบินกลับไม่ไหว" นกกระสาตอบ "แต่ข้ายังกินได้อีกเยอะ" ห่านพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไป 

           ขณะนั้นมีนายพรานคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นนกทั้งสองเข้า นายพรานจึงยกธนูขึ้นเล็งไปที่นกสองตัวนั้นทันที นกกระสาบังเอิญเหลือบมาเห็นนายพรานเข้าพอดี จึงร้องเตือนห่านก่อนที่ตัวเองจะรีบบินหนีไป ห่านซึ่งกินอาหารมากเกินไปจนบินหนีไม่ไหว มันจึงถูกนายพรานยิงตายในที่สุด






นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า จงอย่าโลภมาก ไม่งั้นภัยจะมาถึงตัว 




3,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนเด็ก,นิทานอีสป

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นิทานหมากับแมว

หมากับแมว                          

  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว โจรได้เข้ามาขโมยแหวนของเจ้าของบ้าน แต่ก่อนนั้นแมวกับหมาพูดและรู้ภาษาคน คนก็รู้ภาษามัน ดังนั้นเมื่อโจรขโมยแหวนไปเจ้าของจึงให้หมากับแมวติดตามและแกะรอยนำของกลับคืนมา แมวกับหมาเดินทางไปถึงที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลำห้วยขวางอยู่ แมวว่ายน้ำไม่เป็น หมาจึงให้แมวขี่คอและว่ายน้ำข้ามห้วยไปได้ ทั้งสองเดินทางไปพบขโมยอยู่บ้านหลังหนึ่ง หมาบอกแมวว่า

  “เอ็งขึ้นไปบนบ้านเถอะ ข้าจะคอยอยู่ข้างล่างนี่แหละ”

 ครั้นแมวขึ้นไปบนบ้านหาแหวนไม่พบ จึงใช้ให้หนูไปกัดหีบ หนูกัดหีบแล้ว เข้าไปเอาแหวนมาให้แมว แมวและหมาจึงชวนกันกลับบ้าน พอถึงลำห้วยที่เดิมหมาก็ให้แมวขี่คอ ในมือแมวก็ถือแหวนอยู่ด้วย หมาก็ว่ายน้ำข้ามมาแต่พอเกือบถึงฝั่ง แมวก็กระโดดวื้ดขึ้นมาบนฝั่งวิ่งมาบ้านก่อนหมา ส่วนหมากว่าจะขึ้นจากน้ำได้ก็ช้าอยู่แล้วและเหนื่อยจากการว่ายน้ำด้วย ครั้นแมววิ่งมาถึงบ้านก่อน แล้วเอาแหวนให้เจ้าของบ้าน พร้อมกับแสดงความรักกับเจ้าของบ้านโดยการเคล้าแข้งเคล้าขาร้องเหมียวๆไปมาเคล้าแข้งเคล้าขาประจบเจ้าของอยู่นั่นเอง และยังโกหกเจ้าของบ้านว่า

“หมาไม่ช่วยอะไรเลย มัวแต่ว่ายน้ำเล่นอยู่ไม่สนใจอะไรเลย ข้าอุตส่าห์ไปค้นหาแหวนคนเดียวจนได้เอามาให้อย่างที่เห็นนี่แหละ”

 ครั้นเจ้าของบ้านได้ยินแมวบอกดังนั้นจึงโกรธหมาไม่รอให้หมามาถึงก่อนแล้วค่อยถามเรื่องราวว่าความจริงเป็นอย่างไร ฟังความจากแมวข้างเดียว และวางแผนจะตีหมาให้ตาย จึงถือตะบองมาดักรอหมาอยู่ที่ประตูบ้าน หมามาถึงยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรนึกว่ามาถึงบ้านแล้วเจ้าของจะแสดงความดีใจที่อุตส่าห์ไปเหน็ดเหนื่อยหาแหวนมาคืนให้ได้ มาถึงโดนตะบองผัวะ ๆ พร้อมกับด่าว่า

“เอ็งมัวแต่ไปเล่นที่ไหน ไม่ยอมช่วยตามหาแหวนให้ข้า”

หมารู้ว่าที่ตนถูกตีเพราะแมวใส่ความทำให้ตนเสื่อมเสีย หมาจึงแค้นแมวยิ่งนักอาฆาตว่า

“คอยดูเถอะแมว เอ็งใส่ร้ายข้า ทำให้ข้าเสื่อมเสียอย่างนี้ คอยดูถ้าเอ็งลงดิน เมื่อไรข้าจะไล่กัดให้ตายคาปากคอยดูเถอะ”

 ตั้งแต่วันนั้นมาเจ้าของบ้านไม่ให้หมาขึ้นไปนอนบนบ้านอีก หมาจึงจำใจต้องนอนใต้ถุนบ้าน ส่วนแมวได้นอนฟูกสบายมาก ก็ด้วยเหตุที่แมวรู้จักประจบเจ้าของบ้านนั้นเอง และยังรู้จักใส่ความให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย หมาจึงได้ลงมานอนบนพื้นดิน (ใต้ถุนบ้าน) จนถึงปัจจุบันนี้ ด้วยสาเหตุดังกล่าวหมากับแมวจึงโกรธกัน พบหน้ากันเมื่อไรไล่กัดกันทุกครั้งไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงเป็นคนมีเหตุผล อย่าเชื่อคำพูดใครง่ายๆจนกว่าจะรู้ความจริ


2,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนเด็ก,นิทานอีสป,หมากับแมว

นิทานดาวลูกไก่


ดาวลูกไก่  
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากเชิงเขา ตากับยายปลูกกระท่อมอาศัยอยู่กันตามลำพัง มีอาชีพเก็บผักและของป่าไปขายพอเลี้ยงชีพได้ ตากับยายเลี้ยงไก่ไว้ตัวหนึ่ง ต่อมาแม่ไก่ออกไข่และฟักออกมาเป็นลูกน้อยๆ น่ารักถึงเจ็ดตัว ทุกเช้าแม่ไก่จะร้องกุ๊กๆ เรียกลูกออกไปหากิน สอนให้คุ้ยเขี่ยอาหารและแมลงเล็กๆ ตามพื้นดิน บางวันยายก็จะโปรยข้าวสุกเหลือๆ จากก้นหม้อให้กินด้วย แม่ไก่กับลูกๆทั้งเจ็ดมีความสุขมาก และรู้สึกกตัญญูต่อตายายที่เลี้ยงดูพวกตนอย่างเมตตา ส่วนตากับยายนั้นก็เฝ้าดูแม่ไก่และลูกเจี๊ยบน้อยที่คลอเคลียตามแม่ไม่ยอมห่างด้วยความเอ็นดู 
ยายตั้งชื่อลูกเจี๊ยบตัวเล็กที่สุดว่า เจ้า "จิ๋ว"
"ดูเจ้าจิ๋วสิตา ท่าทางมันขี้อ้อนแม่มันน่าดู" ยายพูด
วันหนึ่งขณะที่แม่ไก่พาลูกๆ คุ้ยเขี่ยหากินอยู่ที่ลานดินหน้ากระท่อม แม่ไก่รู้สึกมีเงาดำทะมึนแผ่กว้างอยู่บนฟ้า แม่ไก่ตกใจรีบส่งเสียงเรียกลูกมาใกล้ๆ แต่ลูกๆ ก็ไม่ได้ยิน แม่ไก่แหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นเหยี่ยวตัวใหญ่กำลังถลาร่อนลงมาจะโฉบเอาเจ้าจิ๋วลูกรัก
"โอ..แย่แล้ว...กุ๊กๆๆ เจ้าจิ๋วลูกรักวิ่งหนีไปเร็วๆ ลูกๆ วิ่งเร็วๆ" แม่วิ่งผวาไปหาลูก แล้วกางปีกป้องกันลูกรัก เรียกลูกมาซุกใต้ปีกของตัวแล้วพาวิ่งไปหมอบที่กอไผ่อย่างรวดเร็ว ตากับยายได้ยินเสียงลูกไก่ร้องจึงรีบวิ่งออกมาช่วยไล่เหยี่ยวบินหนีไป แม่ไก่และลูกๆ จึงปลอดภัยและยิ่งรักตากับยายมากขึ้น

เย็นวันหนึ่งมีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ริมเชิงเขา ตากับยายจึงเข้าไปนมัสการ และตั้งใจว่าจะทำอาหารไปถวายพรุ่งนี้ แต่เมื่อค้นดูเสบียงอาหาร ในครัวก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ตากับยายสงสารพระมากเกรงว่าจะอดอาหาร เพราะในละแวกนี้มีบ้านของตนเพียงหลังเดียว จึงปรึกษากันว่าอาจจะต้องฆ่าแม่ไก่แล้วทำอาหารถวายพระ ทั้งตาและยายรู้สึกเศร้าใจมากด้วยความรักและสงสารแม่ไก่และลูกเจี๊ยบต้องกลายเป็นลูกไก่กำพร้า บังเอิญแม่ไก่แอบได้ยินตากับยายปรึกษากัน จึงตัดสินใจยอมสละชีวิตเพื่อตอบแทนบุญคุณของตากับยาย แม่ไก่เรียกลูกๆ มาเล่าเรื่องให้ฟัง และสั่งสอนให้รักกันอย่าทะเลาะกัน เจ้าจิ๋วลูกสุดท้องอย่ากวนใจพี่มากนัก อย่าขี้อ้อนงอแง
"จำไว้นะลูกๆ ต้องรักกัน สามัคคีกัน อย่าทำให้ตากับยายร้อนใจ

"ฮือๆ หนูจะอยู่กับแม่ หนูคิดถึงแม่ แม่อย่าทิ้งลูกๆไปนะจ๊ะ" ลูกไก่ร้องไห้รำพันอย่างน่าสงสาร ทุกตัวต่างกอดซุกอยู่กับอกแม่เป็นครั้งสุดท้าย
เช้ามืดวันรุ่งขึ้นแม่ไก่จึงได้สละชีวิต เมื่อตากับยายก่อไฟเตรียมประกอบอาหาร ทันใดนั้นตากับยายก็ต้องตกตะลึงจนร้องไม่ออก เมื่อเห็นลูกไก่ทั้งเจ็ดตัววิ่งตามกันกระโดดเข้ากองไฟด้วยความรักแม่ไก่

เทวดานางฟ้าผู้พิทักษ์ความดี ต่างก็ซาบซึ้งในความกตัญญูของแม่ไก่และลูกไก่ จึงรับเอาลูกไก่ทั้งเจ็ดไปอยู่บนฟากฟ้ามีแสงระยิบระยับเป็นประกาย ประกาศถึงความดีที่มีความรักความสามัคคีของพี่น้องทั้งเจ็ดนั่นเอง


เด็กๆ มักได้ฟังนิทานเรื่อง " ดาวลูกไก่" อยู่เสมอเมื่อมองฟากฟ้ายามปราศจากเมฆฝน ก็จะเห็นดาวลูกไก่ดวงเล็กๆ ที่อยู่กันเป็นกลุ่มส่องแสงระยิบระยับน่าเอ็นดู และมีความเชื่อว่าลูกไก่สละชีวิตตามแม่ไก่ไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ถึงความกตัญญู และความรัก ของแม่ไก่และลูกไก่


1,นิทาน,นิทานก่อนนอน,นิทานสอนเด็ก,นิทานอีสป